Back to Schedule
Donate

    รวมบทเทศนาธรรม โดย ศรีทยมาตา ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารเซลฟ์ รีอะไลเซชั่น ศรีทยมาตาดำรงตำแหน่งประธานและ สังฆมาตาแห่งเซลฟ์ รีอะไลเซชั่น เฟลโลว์ชิพ ตั้งแต่ปี 1955 จนท่านถึงแก่กรรมเมื่อปี 2010

    ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มนุษยชาติได้ผ่านวิกฤตมาแล้วอย่างมากมาย และสถานการณ์เช่นนี้ยังมาและไปอยู่เรื่อย โลกหมุนเวียนขึ้นๆ ลงๆ ตามรอบของมันอยู่ตลอดเวลา ทุกวันนี้ จิตสำนึกของสังคมโดยรวมกำลังหมุนขึ้นด้านบน จนถึงจุดสุดยอดหลายพันปีนับจากนี้ วงจรนี้จะหมุนลงอีกครั้ง ก้าวหน้า ถอยหลัง; ขึ้นๆ ลงๆ ในโลกทวิภาวะนี้

    อารยธรรมเจริญและเสื่อมตามวงจรการวิวัฒน์นี้ เห็นได้จากอารยธรรมที่เจริญก้าวหน้าในอดีต เช่น อินเดียและจีน เราเห็นตัวอย่างได้จากจากมหากาพย์ภาษาสันสกฤตของอินเดียโบราณ ในยุคของศรีรามหลายพันปีก่อนคริสต์กาล เทคโนโลยีก้าวไกล เช่น ราชยานที่เหาะไปกลางอากาศ แต่ที่เหนือกว่านั้นก็คือพลังจิตและพลังธรรมของผู้ที่อยู่ในยุคทองนี้ และแล้วอารยธรรมก็เริ่มเสื่อม จนถึงยุคมืด ความก้าวหน้ากลับมืดมน มันเกิดจากอะไรล่ะ? เมื่อวานหลังจากปฏิบัติสมาธิ ข้าพเจ้าคิดถึงเรื่องนี้ ในบริบทของสิ่งที่กำลังเกิดอยู่ในโลกปัจจุบัน

    ธรรมชาติของวิกฤตปัจจุบัน

    ในช่วงวงจรขาลง ผู้คนส่วนใหญ่ไม่รู้แง่มุมคุณธรรมในธรรมชาติของตน จนความดีงามสูญสิ้น อารยธรรมนั้นก็ใกล้ถึงความเสื่อมสลาย กระบวนการเดียวกันนี้เกิดได้กับทุกประเทศชาติในวงจรขาขึ้นด้วย ถ้าศีลธรรมและจิต-วิญญาณของมนุษย์วิวัฒน์ไม่ทันกับความก้าวหน้าด้านความรู้และเทคโนโลยี เขาจะใช้อำนาจที่ได้มาอย่างผิดๆ ถึงขั้นทำลายตนเอง จริงนะ นี่เป็นธรรมชาติของวิกฤตโลกปัจจุบันที่เรากำลังเผชิญ

    จิตสำนึกของมนุษย์ได้วิวัฒน์ไกลถึงขั้นที่รู้ถึงอำนาจเร้นลับอัศจรรย์ของอะตอม อำนาจที่วันหนึ่งอาจทำสิ่งยิ่งใหญ่ที่ตอนนี้เรานึกไม่ถึง แต่เราใช้ความรู้ที่ได้นี้ทำสิ่งใดกันเล่า หลักใหญ่มุ่งไปที่การพัฒนาเครื่องมือเพื่อการทำลาย จริงอยู่ เทคโนโลยียุคใหม่ทำให้เราไม่เสียเวลาในการทำงานหลายอย่างซึ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต แต่บ่อยๆ ที่มนุษย์ไม่ได้ใช้เวลาว่างที่ได้มานี้ไปเพิ่มพูนธรรมชาติจิตใจและคุณธรรม กลับวุ่นอยู่กับการแสวงหาวัตถุและความเพลิดเพลินทางความรู้สึกอย่างไม่จบสิ้น ถ้ามนุษย์คิดแต่สนองอารมณ์ของตนที่ถูกครอบงำด้วยความเกลียดชัง ความริษยา ระคะ และความโลภ ผลที่ไม่อาจเลี่ยงก็คือ ไม่มีความกลมกลืนในหมู่ปัจเจกชน สังคมปั่นป่วน และเกิดความขัดแย้งระหว่างนานาชาติ สงครามไม่ได้ช่วยอะไรเลย หากแต่จะทำให้เกิดการเข่นฆ่ากันมากขึ้น— เผชิญหน้ากันครั้งหนึ่งจะทำให้เกิดการเผชิญหน้าครั้งต่อไป ต่อเมื่อมนุษยชาติฉลาดด้วยปัญญาและรักกันมากขึ้นโลกจึงจะเป็นสถานที่ที่น่าอยู่แท้จริง

    แสงแห่งความหวัง

    มีผู้ถามข้าพเจ้าว่า เราจะจัดการกับด้านมืดและการทำลายที่ครอบงำโลกทุกวันนี้ให้ดีที่สุดได้อย่างไร? ข้าพเจ้าอธิษฐานอย่างล้ำลึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วจิตก็ประหวัดถึงทิพยประสบการณ์ซึ่งเคยได้รับที่อินเดียเมื่อสามสิบปีก่อน ช่วงที่จาริกไปยังถ้ำของท่านมหาวตารบาบาจี

    ข้าพเจ้ากับผู้ร่วมเดินทางพักค้างคืนกันในกระท่อมเล็กๆ บนเส้นทางไปสู่ถ้ำ กลางดึกคืนนั้น ข้าพเจ้าได้นิมิตในอภิจิตสำนึก เห็นโลกเผชิญกับยุคสมัยที่ยุ่งยาก เกิดความสับสนปั่นป่วนอย่างหนัก ข้าพเจ้าร้องเสียงดัง คนอื่นๆ ถามว่าเป็นอะไรไป ตอนนั้นข้าพเจ้าไม่อยากพูดถึงประสบการณ์ที่เกิดขึ้น แต่รู้ว่ามันมีความหมายลึกซึ้ง ไม่แต่กับทยมาตาแต่กับโลกทั้งโลก นิมิตที่เห็นเป็นเมฆมืดมหึมาคลุมครอบทั่วจักรวาล ความมืดทะมึนนั้นน่ากลัวนัก แต่ถัดจากนั้น ข้าพเจ้าเห็นแสงแห่งพระเจ้าที่สว่างไสวด้วยรักและปีติเบียดมวลเมฆมืดนั้นออกไป ข้าพเจ้ารู้ได้เลยว่าสุดท้ายแล้วทุกอย่างจะกลายเป็นดี

    ตอนนี้เรากำลังผ่านห้วงเวลายุ่งยากที่ประสบการณ์นั้นได้บอกแล้วล่วงหน้า มันเกิดกับทุกชาติทุกประเทศ—สงคราม ความอดอยากแห้งแล้ง โรคที่รักษาไม่หาย วิกฤตเศรษฐกิจ หายนะร้ายแรง การแบ่งแยกขัดแย้งทั้งในศาสนาและในหมู่พลเมือง แต่ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ ความกลัว ความสิ้นหวัง ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยามเผชิญกับความสับสนปั่นป่วนที่รุกเข้ามา

    ทำไมเรื่องร้ายๆ เหล่านี้จึงเกิดกับเรา สถานการณ์ของเราไม่ต่างกับชาวอียิปต์โบราณที่ทุกข์ยากด้วยโรคร้ายและหายนะเพราะพวกเขาละเมิดเจตจำนงของพระเจ้าดังที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ เรามีแนวโน้มคิดกันว่าเหตุการณ์อย่างนั้นเกิดเฉพาะในยุคพระคัมภีร์ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้นเลย ทุกวันนี้เราผจญกับโรคร้ายหายนะมากมาย แต่คิดอย่างไม่ลืมหูลืมตาว่า “โอ๊ย ไม่ใช่เกิดเพราะพวกเราล่วงละเมิด เป็นเหตุบังเอิญแค่นั้นเอง” นี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญ

    [เทศนาธรรม โดยศรีทยมาตา หัวข้อ “แสงแห่งความหวัง” กล่าวในการประชุมทางธรรมแห่งโลกของ SRF ประจำปี 1993 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในงานเฉลิมฉลอง 100 ปีชาตกาลของปรมหังสา โยคานันทะ ลิงก์ข้างล่างนี้เชื่อมถึงหน้า เทศนาธรรมประจำสัปดาห์และเทศนาธรรมพิเศษ ท่านอาจเลื่อนไปอ่าน “แสงแห่งความหวัง” ในรวมบทเทศนาธรรมได้]

    บัญญัติความประพฤติที่ถูกต้องเป็นส่วนหนึ่งของระเบียบจักรวาล

    ถามตัวท่านเอง: “เราถอยไปจากความจริงมากแค่ไหน” “เจ้าต้องไม่ฆ่า เจ้าต้องไม่ผิดประเวณีชู้สาว เจ้าต้องไม่ลักขโมย...” บัญญัติสัจจะเหล่านี้ประกาศในบัญญัติสิบประการ อยู่ในคำสอนของพระคริสต์ และที่นานกว่านั้นคือ วิถีมีองค์แปดแห่งโยคะ—สองขั้นตอนแรกในโยคะของปตัญชลีคือ ยม กับ นิยม หลักความประพฤติที่ถูกต้องซึ่งต้องปฏิบัติ กับ การประพฤติผิดที่ต้องหลีกเลี่ยง

    เหล่านี้เป็นทิพยบัญญัติ เป็นส่วนหนึ่งของสัจจะสากลที่พระเจ้าทรงกำหนดก่อนทรงให้กำเนิดมนุษยชาติ พระองค์ทรงสร้างโลกด้วยวิธีคณิต-วิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง ทุกแง่มุมของโลกนี้มีกฎควบคุม ทรงเผยแผ่บทบัญญัติเหล่านี้แก่มหาวิญญาณ อย่างเช่น พระเยซู และฤษีแห่งอินเดียโบราณ ทรงกำหนดบทบัญญัติเหล่านี้เพื่อเป็นแนวทางช่วยให้เราได้เรียนรู้ว่าจะประพฤติอย่างไรเพื่อปรับชีวิตเข้ากับพระเจ้า

    ตลอดหลายยุคสมัยที่ผ่านมา ปรมาจารย์ผู้รักพระเจ้ามาสู่โลกนี้พร้อมกับทิพยสารแห่งพระเจ้า ในยุคแรกๆ ได้แก่หลักการที่ประกาศโดยโมเสส เช่น “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” โมเสสชี้ให้เห็นถึงกฎทิพย์ที่ไม่อาจโต้แย้ง ท่านหว่านพืชอย่างใด ได้ผลอย่างนั้น หลายศตวรรษต่อมา พระเยซูเสด็จมาพร้อมกับคำสอนเกี่ยวกับมหากรุณา ณ ยุคนั้นมนุษย์จำเป็นต้องเรียนรู้เกี่ยวกับความรัก ความกรุณาและการให้อภัย; ความอาฆาตมาดร้าย “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ปฏิบัติกันมาหลายปี พระเยซูสร้างดุลยภาพให้แก่กฎที่เข้มงวดนี้ ด้วยการสอนเกี่ยวกับการให้อภัย การแบ่งปัน และความรักแห่งสวรรค์ อิทธิพลของพระองค์ยังดำรงต่อมาจนถึงปัจจุบัน

    บัดนี้ เราเข้าสู่อีกยุคหนึ่ง—ยุคที่ปรมหังสาจีบอกเราว่า เมื่อมหาวตารบาบาจีในการสื่อสารกับพระเยซูคริสต์ได้ส่งบางสิ่งที่จะช่วยให้มนุษย์ไปได้ไกลกว่าแค่ได้ฟังและพูดเกี่ยวกับคำสอนของพระคริสต์ หรือแค่อ่านหรือท่องจากภควัทคีตา มหาคัมภีร์ของอินเดีย เพราะมนุษยชาติกระหายสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น

    “บางสิ่ง” นั้น คือการสนทนากับพระองค์ผู้ทรงเป็นที่รักโดยตรง ไม่มีใครในหมู่เราอยู่นอกการรับรู้ของพระเป็นเจ้า เราทุกคนถูกสร้างตามฉายาของพระองค์ ไม่ว่าสีผิวใด ลัทธิหรือความเชื่อใด เราล้วนเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์ เราทุกคนมีประกายทิพย์อยู่ในตัว พระคัมภีร์บอกเราว่า “ท่านไม่รู้หรือว่าท่านคือวิหารแห่งพระเจ้า และบรมวิญญาณแห่งพระเจ้าอยู่ในตัวท่าน”

    อะไรคือวิญญาณแห่งพระเจ้าในตัวเรา? ก็คือวิญญาณ หรือ อาตมันนั่นเอง; แก่นสารของตัวเรา แต่มีใครกี่คนในหมู่เราที่รู้ว่าเราคือทิพยวิญญาณ ผู้คนส่วนใหญ่จรไกลไปจากการตระหนักรู้ ไม่นึกถึงพระเจ้าแม้สักขณะจิตในชีวิตประจำวัน จิตสำนึกของพวกเขาอ่อนล้าเพราะการใช้ประสาทรับความรู้สึกกันอย่างผิดๆ การรับรสหมดไปเพราะแอลกอฮอล์ ความตะกละ และนิสัยการกินที่ผิดๆ ดวงตาเหนื่อยล้าเพราะเห็นแต่สิ่งที่ปลุกเร้าอารมณ์ทุกวัน หูด้านชาเพราะฟังแต่สิ่งชั่วๆ และลิ้นด้านชาเพราะพ่นแต่คำหยาบคายอันสะท้อนถึงความคิดที่มืดมนของตน

    เราคือผู้สร้างสภาวะของโลก

    เราคือผู้สร้างสภาวะที่เราเผชิญ อันเป็นผลรวมจากพฤติกรรมไร้ศีลธรรมและมาตรฐานจริยธรรมหย่อนยานในผู้คนทุกหมู่เหล่า

    อารยธรรมดำรงอยู่ได้ขึ้นอยู่กับการประพฤติที่ถูกต้องตามมาตรฐาน ข้าพเจ้าไม่ได้พูดถึงกฎที่มนุษย์สร้างขึ้นซึ่งอาจเปลี่ยนได้ตามกาลเวลา แต่พูดถึงหลักปฏิบัติสากลข้ามพ้นกาลเวลาที่ส่งเสริม สุขภาพ ความสุขและศานติทั้งแก่ปัจเจกบุคคลและสังคม—ก่อให้เกิดความหลากหลายในความเป็นหนึ่งเดียวที่กลมกลืน

    บางทีอาจจะยากสำหรับจิตสำนึกธรรมดาของเราที่จะเข้าใจความไพศาลของสัจจะเบื้องหลังจักรวาลที่พระองค์ทรงสร้าง แต่ความจริงสูงสุดนั้นดำรงอยู่ อย่างที่สิ่งใดๆ ไม่อาจประนีประนอมกับกฎเที่ยงแท้นี้ที่พระเจ้าทรงค้ำจุนจักรวาลและสรรพชีวิต ทุกสิ่งในจักรวาลนี้เชื่อมโยงสัมพันธ์กัน ในฐานะมนุษย์เราใช่แต่เชื่อมโยงระหว่างมนุษย์ด้วยกันเองเท่านั้น หากแต่เชื่อมสัมพันธ์กับธรรมชาติทั้งมวลด้วย เพราะทุกชีวิตมาจากแหล่งเดียวกัน นั่นคือพระเจ้า พระองค์คือความกลมกลืนบริบูรณ์ แต่การที่มนุษย์คิดและกระทำผิดๆ ได้ส่งผลร้ายต่อการสำแดงแผนอันกลมกลืนของพระองค์ในโลกนี้ เช่นเดียวกับเมื่อท่านพยายามปรับคลื่นวิทยุเพื่อหาสถานี คลื่นที่รบกวนทำให้รับฟังรายการได้ไม่ชัดฉันใด “คลื่นที่รบกวน” เพราะการประพฤติผิดๆ ของมนุษย์จะรบกวนความกลมกลืนของพลังธรรมชาติ ผลก็คือ สงคราม ภัยธรรมชาติ ความปั่นป่วนในสังคม และปัญญาทั้งหลายที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน

    “เปี่ยมด้วยแสงความปีติแห่งพระเจ้า”

    เราต้องเปลี่ยน นี่คือสารจากท่านปรมหังสา โยคานันทะ การงานนี้ที่ท่านริเริ่มจึงได้เติบโตงอกงาม— เพราะได้ช่วยผู้คนให้เปลี่ยนแปลง

    เมื่อเกิดความทุกข์ ผู้คนมักพูดว่า “ทำไมพระเจ้าทำกับฉันอย่างนี้” พระองค์ไม่ได้ทำกับเรา เราต้องรับผิดชอบการกระทำของเราเอง เมื่อเราเดินชนกำแพงหิน กำแพงไม่ได้ตั้งใจทำร้ายเรา แต่ข้อเท้า หรือศีรษะเราอาจแตก เราจะโทษกำแพงไม่ได้ อาจได้แต่คร่ำครวญ “ฉันไม่รู้ว่ามีกำแพงอยู่ตรงนั้น ถ้ารู้ก็ไม่เดินชนหรอก” ฉะนี้ พระเจ้าจึงทรงสร้างกฎแห่งสวรรค์ให้เป็นแนวทางการดำเนินแก่ทุกศาสนาใหญ่ๆ ในโลก ทรงบอกพวกเราทุกคนว่า “ลูกเอ๋ย นี่คือสิ่งจริงสูงสุดที่เจ้าต้องปฏิบัติ” พระองค์ทรงรู้ว่าเราอ่อนแอ ทรงรู้ว่าเราเปราะบาง ทรงรู้ว่าเราขาดการสื่อสารกับพระองค์—วิสัยทัศน์และปัญญาแยกแยะของเราจึงถูกบดบัง—เพราะเราจมอยู่ในโลกวัตถุมากเกินไป พระองค์จึงประทานกฎเหล่านั้นผ่านผู้เผยพระวจนะและฤษี เพื่อช่วยให้พวกเรารู้ตัวยามกระทำผิด เป็นทุกข์เพราะละเมิดทิพยบัญญัตินิรันดร์นั้น

    เราต้องกลับไปที่บทบัญญัติเหล่านั้น เราต้องตระหนักรู้ดังที่พระคริสต์ตรัสว่า แผ่นดินของเราไม่ใช่โลกนี้ แผ่นดินนั้นอยู่ไกลไปจากโลกโลกีย์—เป็นที่ซึ่งทิพยบุคคลพำนัก เป็นที่อยู่ของมหามุนีและมหาอาจารย์ หลายครั้งหลายหน ข้าพเจ้าเห็นปรมหังสาจีในห้องของท่าน ที่จู่ๆ ท่านเงียบ ถอนตนสู่ภายใน พวกเราบางคนมีอภิสิทธิ์ได้นั่งทำสมาธิอยู่แทบเท้าท่านในหลายๆ โอกาสนั้น พอท่านลืมตา ท่านจะพูดถึงอีกโลกหนึ่ง “พวกเธอเห็นโลกที่จำกัดนี้กันบ้างมั้ย มันไร้ความสมบูรณ์ ถ้าเพียงพวกเธอเห็นโลกประเสริฐที่พ้นไปจากโลกนี้อย่างที่ครูเห็น—เปี่ยมด้วยแสงความปีติแห่งพระเจ้า”

    ผู้แสวงธรรมที่รักทั้งหลาย แผ่นดินของท่านก็เช่นกันไม่ใช่โลกนี้ อย่าได้สูญเสียการรู้แผ่นดินที่แท้จริงของเรา อย่าให้เวลาและความสนใจแต่กับสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ เพราะวันหนึ่งท่านต้องจากมันไป

    อย่ายอมรับ “ความโศกเศร้าเสียใจ”

    ฉะนั้น เมื่อท่านถามข้าพเจ้าว่า “เราจะเผชิญกับ ‘ความโศกเศร้าเสียใจ’ ในโลกนี้อย่างไร” ข้าพเจ้าขอบอกว่า อย่ารับมัน! มันไม่ได้มีอยู่จริง เว้นแต่ท่านยอมให้มันมืดมิดอยู่ในจิตสำนึกของตน จงพยายามเปลี่ยนศูนย์การรับรู้ แต่ละวันท่านคิดถึงพระเจ้าบ่อยแค่ไหน ท่านผันจิตสู่พระเจ้าภายในบ่อยเพียงใด การที่จิตอยู่กับพระเจ้าตลอดเวลานั้นน่าอัศจรรย์นัก ตลอดเวลาจงอยู่ด้วยความคิดที่ว่า “ข้าแต่องค์พระเป็นเจ้า ข้าพเจ้ารักพระองค์” ด้วยปีติเหลือล้น “ข้าพเจ้ารักพระองค์ และเพราะข้าพเจ้ารักพระองค์เป็นสิ่งแรก ข้าพเจ้าจึงรักมนุษยชาติทั้งมวล ข้าพเจ้าไม่ถือโทษผู้ที่เข้าใจข้าพเจ้าผิดๆ เพราะข้าพเจ้ารักพระองค์ ข้าพเจ้าต้องการทำความดีในโลกนี้เพราะข้าพเจ้ารักพระองค์” เราควรดำเนินชีวิตกันอย่างนี้

    อย่าท้อแท้กับ ‘ความโศกเศร้าเสียใจ’ มันจะผ่านไป หลายอารยธรรมในโลกนี้มาแล้วไป ได้พบกับวิกฤตินับไม่ถ้วนอย่างที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้—เกินกว่าที่เรารู้หรือจดจำ แม้วิญญาณเราเดินทางผ่านห้วงเวลาเช่นนั้นมามากมายตลอดการเดินทางอันยาวไกลในการเวียนตายเวียนเกิด แต่นี่ไม่ใช่ทั้งหมด ยังมีสิ่งดีๆ รอเราอยู่ที่โลกอื่น ยิ่งเราถอนจิตจากการยึดกายในโลกนี้ได้มากเท่าใด เราจะยิ่งสามารถยกจิตสู่แผ่นดินสวรรค์ได้ง่ายขึ้น

    เราเริ่มด้วยการพยายามทำประสาทรับรู้ให้ไปทางธรรม มองแต่สิ่งดี คิดแต่สิ่งดี ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเห็นทุกสิ่งงามเลิศเพริศพราย แต่หมายความว่ามีเจตจำนง มีศรัทธาภักดีอย่างแข็งแกร่งที่จะกล่าวว่า “ข้าแต่องค์พระเป็นเจ้า ข้าพเจ้าเป็นของพระองค์ ข้าพเจ้าจะพยายามทำทุกสิ่งที่ทำได้ในมุมเล็กๆ บนโลกนี้ของตน เพื่อทำให้ผู้คนเบิกบาน คิดสูง—ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อนบ้าน ชุมชน และทุกๆ คนที่ข้าพเจ้าเข้าถึง ข้าพเจ้าจะทำดีที่สุดเท่าที่ทำได้ แม้ตนเองต้องตรากตรำดิ้นรน”

    ท่านคุรุของเรากล่าวเสมอว่า “นักบุญที่แท้คือผู้ที่แม้อยู่ท่ามกลางความทุกข์ทรมาน ท่านก็สามารถบำบัดและให้ความเบิกบานแก่ทุกผู้คนที่มาสู่ท่าน” นี่เป็นเจตคติของผู้รักพระเจ้าอย่างแท้จริง ไม่ว่าเขาหรือเธอพบผ่านสิ่งใด ทุกคนที่มาหาเขาหรือเธอจะไม่กลับไปอย่างหดหู่ ท้อถอย หรือล้มเหลว เราทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้า และแต่ละคนต่างมีอำนาจนั้นที่จะสามารถพิชิตความยากลำบากในชีวิต แต่เราต้องมีความเชื่อ ต้องใช้ความเชื่อนั้น—และต้องขวนขวายให้ตนเป็นคนร่าเริงอยู่เสมอ

    ปรมหังสาจีมักกล่าวกับเราว่า “นักบุญที่โศกเศร้าคือนักบุญน่าเศร้า!” ตัวท่านเองร่าเริงอยู่เสมอ ตลอดเวลา—แม้ท่ามกลางการดิ้นรนอย่างใหญ่หลวงในการสร้างสรรค์การงานแห่งเซลฟ์ รีอะไลเซชั่น เฟลโลว์ชิพ/สมาคมโยโคทะสัตสังคะ ในโลกนี้ การรับใช้พระเจ้าไม่ใช่งานง่าย ชีวิตก็ไม่ง่าย! แต่ขอให้เราอยู่ด้วยความเบิกบาน ร่าเริง มุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ว่าเราจะชนะ ทุกอย่างจะดี เพราะพระเจ้าทรงอยู่เบื้องหลังเรา

    อย่าเป็นคนขี้หงุดหงิด อย่าเป็นคนกระจายความคิดเชิงลบ จำไว้เสมอว่า: โลกนี้ถูกสร้างด้วยกฎแห่งทวิภาวะ ทุกสิ่งมีสองด้าน—บวกกับลบ—และมนุษย์ทุกคนมีโอกาสเลือกที่จะให้จิตสำนึกอยู่กับฝ่ายใด ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ต้นอุตพิด เพราะมันทำให้หดหู่ไม่สดชื่น แต่ก็อย่างที่ท่านคุรุพูดอยู่เสมอว่า ทุกคนชอบอยู่ใกล้ดอกกุหลาบที่ให้กลิ่นหอม ขอจงเป็นมนุษย์ดอกกุหลาบ เป็นคนคิดบวก

    จงตัดสินใจทำตนให้เป็นคนคิดบวก ร่าเริง เบิกบาน ข้าพเจ้าบอกได้เลยว่า ถ้าท่านทำได้เช่นนั้น ท่านจะพบแต่สิ่งดีๆ ตลอดทาง เพราะความคิดมีอำนาจดูดดึง ถ้าติดนิสัยคิดลบ เราจะดูดดึงสภาวการณ์ด้านลบเข้ามา แต่ถ้าคิดบวกเราจะดูดดึงผลบวกสู่ตน พูดง่ายๆ ได้ว่า: สิ่งที่เหมือนๆ กัน จะดึงดูดสิ่งที่เหมือนกัน

    อำนาจของการอธิษฐานให้โลกเปลี่ยนแปลง

    ข้าพเจ้าขออธิบายถึงภาพสุดท้ายในนิมิตว่า พลังแห่งพระเจ้าได้เบียดความมืดที่คุกคามโลกเราออกไป ด้วยปัจเจกบุคคลผู้ดำเนินชีวิตตามหลักธรรมที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ วิถีธรรมเริ่มด้วยคุณธรรม กฎความประพฤติที่ถูกต้องอันเป็นรากฐานของทุกศาสนา—เช่น ความจริงใจ การควบคุมตน ซื่อสัตย์ต่อชีวิตสมรส การไม่ทำร้ายผู้อื่น เป็นต้น ใช่ว่าเรามีพฤติกรรมถูกตรงอย่างเดียว ต้องคิดให้ถูกตรงด้วย การคิดอยู่ทางเดียวซ้ำๆ ความคิดนั้นจะกลายเป็นการกระทำในที่สุด ฉะนั้นการจะเปลี่ยนชีวิตจึงเริ่มด้วยการคิดนั่นเอง

    ความคิดคืออำนาจ มันมีพลังมหาศาล ข้าพเจ้าจึงเชื่อมั่น การร่วมกันสวดอธิษฐานทั่วโลกที่ท่าน ปรมหังสา โยคานันทะได้ริเริ่มไว้ ข้าพเจ้าหวังว่าท่านทั้งหลายได้เข้าร่วมกับการสวดนี้ เมื่อผู้คนจดจ่อจิตส่งความคิดที่เปี่ยมด้วยรัก ศานติ ปรารถนาดี และการให้อภัย ตามวิธีบำบัดเยียวยาที่ใช้ในการร่วมกันสวดอธิษฐานทั่วโลก อำนาจมหาศาลจะเกิดขึ้นได้ ถ้ามวลชนทำสิ่งนี้ พลังสั่นสะเทือนแห่งความดีจะมีอำนาจเพียงพอที่จะเปลี่ยนโลกได้

    เปลี่ยนตัวท่านเองแล้วท่านจะเปลี่ยนผู้คนได้เป็นพันเป็นหมื่น

    บทบาทของเราคือทำทุกสิ่งที่เราทำได้ที่จะปรับชีวิตของเราให้เข้ากับพระเจ้า ด้วยความคิด คำพูดและความประพฤติที่เป็นแบบอย่าง เหล่านี้อาจส่งผลทางมิติธรรมแก่ผู้คนทั่วโลก ถ้อยคำของผู้คนมีความหมายน้อยถ้าไม่ได้แสดงออกในชีวิตของตน พระวจนะของพระคริสต์ทรงพลังอำนาจแม้ทุกวันนี้เหมือนกับเมื่อสองพันปีก่อน เพราะพระองค์ดำรงพระชนม์อย่างที่พระองค์คิด ชีวิตของพวกเราก็เหมือนกันต้องสะท้อนหลักการที่เราเชื่ออย่างหลั่งไหลไปเงียบๆ ดังที่ท่านคุรุของเรามักกล่าวเสมอว่า “ปฏิรูปตนเองแล้วท่านจะปฏิรูปผู้คนได้นับพันนับหมื่น”

    ท่านทั้งหลายอาจกล่าวว่า “แต่ในโลกนี้มีสิ่งที่ต้องแก้ไขมากมายเหลือเกิน มีสิ่งที่ต้องทำอีกมาก” ใช่ มันจำเป็นอย่างมหาศาล แต่ความเดือดร้อนในโลกจะไม่หมดไปเพียงเพราะเราปรับปรุงสิ่งนอกกาย เราต้องแก้ไขปรับปรุงธาตุความเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นสาเหตุแท้จริงของความเดือดร้อนเหล่านี้ และเราต้องเริ่มที่ตัวเราเอง

    ท่านอาจพูดกับคนคนหนึ่งเป็นพันครั้งว่าอย่าสูบบุหรี่ แต่ถ้าเขาไม่คิดที่จะเลิกสูบบุหรี่ ถึงท่านจะพูดอย่างไรก็เปลี่ยนนิสัยเขาไม่ได้ จนเมื่อเขาเริ่มมีอาการไอ และทุกข์ทรมานจากผลร้ายของบุหรี่ นั่นแหละเขาจึงจะรู้ตัวและเข้าใจ “ฉันได้รับผลแล้ว ต้องเริ่มคิดกันบ้างละ” ทำนองเดียวกัน คำพูดของท่านอาจมีผลน้อยที่จะทำให้คนที่ขาดความกลมกลืนสุขสงบได้ แต่ถ้าคนนั้นสัมผัสได้ถึงพลังความกลมกลืนและสุขภาวะที่หลั่งไหลจากธรรมชาติอันสงบของท่าน ซึ่งเป็นสิ่งที่จับต้องได้ นั่นละ มันจึงจะส่งผลดีต่อเขาได้

    สร้างความกลมกลืนภายในกับวิญญาณของท่านและกับพระเจ้า

    ศานติและความกลมกลืนที่ทุกคนต้องการอย่างยิ่งยวด ไม่อาจได้มาจากวัตถุหรือประสบการณ์ภายนอกใดๆ มันเป็นไปไม่ได้เลย บางทีการมองความงามยามพระอาทิตย์ตก หรือไปในเขตภูเขาหรือชายทะเล ท่านอาจรู้สึกสงบชั่วคราว แต่แม้ทัศนียภาพที่ดลใจที่สุดก็ไม่อาจทำให้ท่านสงบได้หากท่านไม่มีความกลมกลืนให้กับตัวท่านเอง

    ความลับของการนำความกลมกลืนไปสู่สภาพการณ์ภายนอกของชีวิตท่าน คือการสร้างความกลมกลืนภายในกับวิญญาณของท่านเองและกับพระเจ้า...

    เมื่อมนุษย์ขวนขวายสู่สภาวะนี้มากขึ้น วิกฤตที่คุกคามโลกก็จะลดน้อยลง แต่เราต้องเข้าใจว่าโลกนี้ไม่มีวันสมบูรณ์แบบ เพราะที่นี่ไม่ใช่บ้านถาวรของเรา โลกนี้คือโรงเรียน ที่มีนักเรียนหลายๆ ระดับ เรามาสู่โลกนี้เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตทั้งที่รื่นรมย์และขมขื่น

    พระเจ้าทรงความนิรันดร์ และเราก็เช่นกัน จักรวาลของพระองค์จะขึ้นๆ ลงๆ ต่อไป เพื่อให้เราได้ทำตนให้กลมกลืนกับกฎแห่งการรังสรรค์ ผู้ทำอย่างนี้ได้สามารถวิวัฒน์ขึ้นไปได้เรื่อยๆ ไม่ว่าสถานการณ์ภายนอกในวัฏจักรของโลกจะเป็นอย่างไร และด้วยจิตที่ประณีตเขาจะพบอิสรภาพในพระเจ้า

    ในที่สุดแล้ว ความรอดของเราทุกคนอยู่ที่ตัวเราเอง—เราเผชิญกับชีวิตอย่างไร เราประพฤติอย่างไร เราดำเนินชีวิตด้วยความชื่อสัตย์ จริงใจ คิดถึงผู้อื่นหรือไม่ แต่เหนืออื่นใด จงศรัทธาวางใจในพระเจ้าอย่างกล้าหาญ ทุกอย่างจะง่ายถ้าเรามุ่งมั่นในความรักต่อพระเจ้า เมื่อนั้นแล้วเราอยากจะทำความดี อยากเป็นคนดี เพราะเราพบว่าศานติ ปัญญาและความเบิกบานหลั่งไหลมาสู่จิตของเราจากเอกองค์ผู้ทรงเป็นต้นกำเนิดของเรา

    ปรมหังสาจีให้เรากล่าวคำย้ำเตือนกับท่านบ่อยๆ ว่าชีวิตของพวกเราจะอยู่ในความปีติแห่งพระเจ้า:

    ข้าพเจ้ามาจากความปีติ ข้าพเจ้าอยู่กับความปีติ เคลื่อนไหว และเป็นอยู่กับความปีติ และข้าพเจ้าจะสลายกลับสู่ความปีติศักดิ์สิทธิ์นั้นอีกครั้ง

    จงอยู่กับสัจจะนี้ แล้วท่านจะเห็นว่าความปีติจะหล่อเลี้ยงภายในของท่าน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิต ความปีตินั้นจะเป็นจริงยิ่งกว่าเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปรไม่แน่นอนในโลกหลากสีสันนี้