Back to Schedule
Donate

กว่าครึ่งศตวรรษมาแล้ว ท่านปรมหังสา โยคานันทะได้พรรณนาถึงการเปลี่ยนแปลงที่โลกจะต้องผ่านพบในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนสู่ยุคธรรมที่สูงขึ้น ท่านไม่ได้ระบุเวลาที่แน่ชัด แต่ได้ให้คำแนะนำทางมิติธรรมและการปฏิบัติมากมายไว้รับกับยุคแห่งความท้าทายนี้ คุรุของปรมหังสาจี ท่านสวามีศรียุกเตศวร ได้เปิดเผยไว้ในหนังสือของท่าน The Holy Science ว่ายุคปรมาณู (ทวาปรยุค) เป็นขาขึ้นครั้งใหม่ในชีวิตของโลกเรา แต่ปรมหังสาจีได้ชี้ว่า อำนาจของยุคมืด (กาลียุค) ที่เพิ่งผ่านยังหนักหน่วงอยู่ในอารยธรรมปัจจุบันของเรา แบบแผนการคิดที่สร้างขึ้นมาในช่วงหลายพันปีของยุควัตถุ ยังสะท้อนอยู่ในวัฒนธรรม ประเพณีนานา และไสยศาสตร์ ที่แบ่งแยกมนุษย์จากมนุษย์ ประเทศชาติจากประเทศชาติ ปรมหังสาจีพยากรณ์ว่า เมื่อมนุษย์โยนมายาคติที่มีมานานและความไม่กลมกลืนนี้ทิ้งไป ความรุ่งเรืองของสังคมและประชาชาติจะขึ้นๆ ลงๆ อย่างมาก—หลังจากนั้นทั่วโลกจะก้าวหน้าไปไกลอย่างเกินคาด

ศรีทยมาตา ประธานท่านที่สามของเรา—ศิษย์ใกล้ชิดรุ่นแรกของท่านคุรุ—ได้กล่าวสรุปถึงคำแนะนำของท่านปรมหังสา โยคานันทะเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า:

“ท่านปรมหังสา โยคานันทะทำให้เราเข้าใจว่า ทุกครั้งที่สภาวะของโลกหรืออารยธรรมเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ย่อมมีเหตุที่ละเอียดอ่อนอยู่เบื้องหลัง—การทำงานของกฎแห่งกรรมในชีวิตของปัจเจกและกิจกรรมของปวงชนในระดับนานาชาติ เช่นเดียวกับความท้าทายในชีวิตส่วนตัวของเรา เราควรมีเจตคติที่ถูกต้องว่า ‘ฉันจะเรียนรู้อะไรได้บ้างจากสิ่งนี้’ ดังนั้น โลกจำเป็นต้องเข้าใจบทเรียนที่พระเจ้าประสงค์ให้เราซึมซับ ณ จุดนี้ของวิวัฒนาการ

“มีความหวัง—ทุกครอบครัว ทุกความสัมพันธ์ในครอบครัวนานาชาติทั่วโลก— ถ้าเราให้เวลาหล่อเลี้ยงเป้าหมายและคุณค่าที่จะนำไปสู่สันติภาพและความเข้าใจในธรรมที่แท้จริง”

ศรีทยมาตา

“มวลมนุษย์ต้องโอบรับศิลปะการดำเนินชีวิตวิถีธรรมอย่างมีดุลยภาพ และเรียนรู้ที่จะอยู่ในครอบครัวโลกเดียวกัน ความกังวลกดดันที่คุกคามเราในยุคเทคโนโลยีก้าวไกล จะบีบให้เราเรียนรู้บทเรียนนี้ไม่ช้าก็เร็ว

“ปรมหังสาจีเห็นสิ่งนี้หลายปีมาแล้ว และท่านได้บอกเราหลายครั้ง ‘ใกล้ถึงวันที่โลกจะกลับไปสู่ชีวิตเรียบง่าย เราต้องทำชีวิตให้เรียบง่ายเพื่อพระเจ้า ต้องอยู่ด้วยจิตสำนึกแห่งภราดรภาพ เพราะเมื่ออารยธรรมวิวัฒน์สู่ยุคที่สูงขึ้น เราจะพบว่าโลกเล็กลง อคติและการขาดขันติธรรมต้องหมดไป’

“พระเยซูตรัสว่า ‘บ้านใดๆ ซึ่งแตกแยกกันแล้ว จะตั้งอยู่ไม่ได้’ วิทยาศาสตร์นำประเทศชาติทั้งหลายมาใกล้ชิดกัน โลกที่เคยกว้างใหญ่มาบัดนี้เป็นเสมือนบ้าน ซึ่งสมาชิกแต่ละคนเชื่อมโยงและพึ่งพาอาศัยกัน ลองคิดดูเถิดว่าแค่ครอบครัวเล็กๆ ที่จะอยู่ด้วยกันท่ามกลางความแตกแยกในยุคสมัยของเรานี้มีความยากเย็นเพียงใด แล้วจะหวังให้ทั้งโลกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ละหรือ แต่ก็ยังมีความหวัง—ทุกครอบครัว ทุกความสัมพันธ์ในครอบครัวนานาชาติทั่วโลก—ถ้าเราให้เวลาหล่อเลี้ยงเป้าหมายและคุณค่าที่จะนำไปสู่สันติภาพและความเข้าใจในธรรมที่แท้จริง”