รวมบทเทศนาธรรม โดย ศรีมฤนลินีมาตา ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารเซลฟ์ รีอะไลเซชั่น เฟลโลว์ชิพ ศรีมฤนลินีมาตาดำรงตำแหน่งประธานและสังฆมาตาแห่งเซลฟ์ รีอะไลเซชั่น เฟลโลว์ชิพตั้งแต่ปี 2011 จนท่านถึงแก่กรรมเมื่อปี 2017
“อำนาจของการอธิษฐาน”
ท่านปรมหังสา โยคานันทะเห็นล่วงหน้าว่ามนุษยชาติจะค่อยๆ ตื่นเข้าสู่ยุคแห่งการรู้แจ้งมากขึ้น โลกนี้จะผ่านห้วงเวลาปั่นป่วนวุ่นวายขณะขวนขวายสลัดวิธีคิดของยุคตกต่ำที่เรากำลังจะทิ้งไว้เบื้องหลัง ท่านให้ความมั่นใจแก่เราว่า ยุคสมัยของเราเป็นยุคที่แสงแห่งธรรมค่อยๆ เจิดจ้าขับไล่ความมืด กระนั้นเมื่อเราประสบกับชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ ในโลกวัตถุนี้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ได้เห็นผู้คนบริสุทธิ์ทุกข์ทนหม่นไหม้อยู่ในกระแสกรรมรวม เรามักจะรู้สึกเปราะบางหวั่นไหว ณ เวลาเช่นนั้นเมื่อหัวใจร่ำร้อง “ทำไม” และความเข้าใจของมนุษย์เราไม่อาจให้คำตอบได้อย่างเพียงพอ เราจำเป็นต้องมองข้ามพ้นไปจากขอบเขตอันจำกัด ให้เห็นเอกองค์ผู้ทรงทิพยอำนาจที่จะคุ้มครองพวกเราในท่ามกลางพายุมายาทั้งหลาย
ด้วยพระดำริของพระเจ้าทุกสิ่งในจักรวาลจึงบังเกิด เราเป็นบุตรของพระองค์ การเชื่อมโยงความคิดและการกระทำของเรากับเจตจำนงอันสำเร็จสมบูรณ์ของพระองค์ เราจะเป็นอิสระจากมายาที่สิ้นหวังของมนุษย์ รู้ศักยภาพที่เราแต่ละคนมีซึ่งเป็นพลังแห่งความดีในโลกนี้ การอธิษฐานที่หลั่งไหลจากศรัทธาบริสุทธิ์แห่งวิญญาณด้วยความมั่นใจ รู้ว่าพระองค์ทรงรักเราอย่างไร้เงื่อนไข เหล่านี้จะดูดดึงพลังบำบัดแห่งพระเจ้าจากต้นธารอันไร้ขีดจำกัด เมื่อเราทูลพระองค์ในใจด้วยศรัทธาแท้จริงและจริงใจ ตั้งใจมั่นเพิ่มพูนพลังอธิษฐาน การอธิษฐานจะเป็นจริงในทิพยจิตอันสร้างสรรค์ ความช่วยเหลือที่เราสร้างภาพนั้นจะแข็งแกร่งด้วยพระฤทธานุภาพแห่งพระเจ้า ได้อำนาจการเนรมิตผลดีที่จะเกิดแก่ชีวิตของเราและผู้อื่น ท่านคุรุเทพบอกเราว่า “มนุษย์ส่วนใหญ่มองว่าเหตุการณ์ทั้งหลายเป็นไปตามธรรมชาติไม่อาจเลี่ยง พวกเขาแทบไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคนเป็นไปได้ด้วยการอธิษฐาน” การอธิษฐานเป็นวิธีทรงประสิทธิภาพที่เราสามารถสื่อถึงครอบครัวโลกที่เดือดร้อนได้อย่างทันท่วงที ด้วยสภาวะะจิตเช่นนี้ ที่เราเรียนรู้สถานการณ์อันเป็นเหตุแห่งความทุกข์ ขอให้การอธิษฐานเป็นปฏิกิริยาแรกของเราเสมอ—ขอให้ความรักแห่งพระเจ้าคุ้มครองผู้ทุกข์ยากเหล่านั้น ด้วยการกระทำเช่นนี้ เท่ากับเราขยายช่องทางให้พรแห่งพระองค์หลั่งไหลไปถึงพวกเขาด้วยวิธีประสมประสานอำนาจเบื้องบนกับการพยายามช่วยเหลือของมนุษย์ใจกุศล และเราเองก็ได้เปิดใจรับศานติและความมั่นใจจากพระองค์
การสนทนากับพระเจ้าอย่างลึกซึ้งภายในจะสยบความสงสัยวุ่นวายใจ เพิ่มประสิทธิภาพการอธิษฐานถึงผู้อื่น รวมถึงการที่เราขวนขวายจะมีชีวิตตามกฎแห่งความรักและสัจจะแห่งพระองค์ ดังที่คุรุจีเตือนเราว่า “ความดีของคนคนหนึ่งอาจลบล้างกรรมรวมของผู้คนหลายล้านคน” เพราะท่านรู้ว่าอำนาจการอธิษฐานของปัจเจกแต่ละคนจะเพิ่มพูนเมื่อรวมกับคนอื่นๆ ที่อยู่ในสภาวะจิตเดียวกัน คุรุเทพก่อตั้งกิจกรรม “การร่วมกันสวดอธิษฐานทั่วโลก” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการรับใช้สมาคมโลกของท่าน ข้าพเจ้าขอให้ท่านทั้งหลายได้มีส่วนร่วมกับความพยายามนี้ในการอธิษฐานประจำวัน เพื่อลูกๆ ของพระเจ้าทุกคนที่เดือดร้อนจะได้รับพระพร ทำร่วมไปกับพวกเราทุกคนในอาศรมของท่านคุรุซึ่งทำเช่นนี้ทุกวัน ขอให้รู้ว่าด้วยการอธิษฐาน ด้วยการคิดและการกระทำเชิงบวก ท่านกำลังช่วยเพิ่มพูนแสงรักแห่งพระเจ้าในโลกนี้ จากพระองค์ผู้ทรงบำบัดและช่วยเหลือทุกคน
“พรแห่งกริยาโยคะในชีวิตประจำวัน”
[คัดจากนิตยสารเซลฟ์ รีอะไลเซชั่น ฉบับฤดูร้อนปี 2011]
ในโลกทวิภาวะอันสัมพัทธ์ที่เราเจ็บปวด โศกเศร้า ทุกข์ยาก และปั่นป่วนอย่างมากมายนี้ จำเป็นต้องรู้ศาสตร์เฉพาะว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไร เราต้องการวิทยาศาสตร์ใช่แค่ความมั่งคั่งทางวัตถุ และ “เครื่องไม้เครื่องมือ” ในชีวิต แต่ต้องการศาสตร์แห่งการดำเนินชีวิต อันเป็นสิ่งที่ขาดหายในมนุษยชาติ—และเป็นเหตุแห่งปัญหาและความเดือดร้อนทั้งปวงในโลกทุกวันนี้ นั่นคือสิ่งที่ท่านปรมหังสา โยคานันทะคุรุของเรา นำมาสู่โลกตะวันตกในคำสอนกริยาโยคะของท่าน
ตลอดหลายยุคหลายสมัย มนุษย์ชาติได้รับศาสตร์แห่งการดำเนินชีวิตมาครั้งแล้วครั้งเล่า ธรรมชาติของพระเจ้าจะต้องทรงความอดทนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะไม่อย่างนั้นแล้วพระเจ้า (ซึ่งเราเรียกในนามพระแม่) จะทรงรักและอดทนกับลูกๆ ของพระองค์อย่างไม่สิ้นสุดได้อย่างไร ทรงเตือนเราอย่างอดทนว่า “นี่เป็นโลกของเรา เราสร้าง ทำให้โลกนี้ดี สวยงาม สร้างพวกเจ้าทั้งหลาย สร้างให้พวกเจ้าดี สร้างให้พวกเจ้าสวยงาม บอกกล่าวแก่พวกเจ้าในพระคัมภีร์ บอกกล่าวกับพวกเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผ่านเสียงและแบบอย่างขององค์อวตารและนักบุญ สิ่งที่เจ้าต้องทำในโลกนี้คือรักษาโลกให้คงความงาม รักษาชีวิตของพวกเจ้าให้กลมกลืนกับเรา เพื่อว่าพวกเจ้าทั้งหลายจะได้ทำให้ความงาม ความเบิกบาน ศานติ และความมั่งคั่งแห่งเราได้สำแดงในโลก—ที่เราเท่านั้นรังสรรค์และธำรงไว้ แล้วพวกเจ้าได้ทำอะไรกับโลกนี้กันเล่า?”
วัฒนธรรมยุคใหม่ที่มีพลังมายามหาศาลพยายามหลากหลายวิธีที่จะปฏิเสธ-ขับพระเจ้าออกไป ด้วยการมองแค่ทาง “วิทยาศาสตร์” ถึงจักรวาลและจากชีวิตประจำวัน แต่โลกจะไม่มีวันรู้จักความสุขที่ยั่งยืนหรือศานติ หรืออิสรภาพจากความทุกข์ ตราบเท่าที่มนุษย์ปฏิเสธว่าพระเจ้าไม่ใช่ความจริงสูงสุดในสิ่งสร้าง ทั้งๆ ที่จักรวาลถูกสร้างและธำรงด้วยพระดำริอันไพศาลแห่งพระองค์
เหตุความทุกข์ของพวกเรา
ในจิตของทุกคนที่มีความทุกข์ มักสงสัยและมีคำถามเมื่อเราคิดว่า “ถ้ามีพระเจ้า ทำไมพระองค์ยอมให้ความทุกข์เช่นนี้เกิดขึ้น ทำไมชีวิตฉันจึงได้เจ็บปวดอย่างนี้ พระเจ้าได้ยินคำอธิษฐานของฉันหรือไม่หนอ?” และเมื่อเราเห็นผู้คนนับล้านๆ คนต้องทนทุกข์เพราะหายนะภัย สงคราม และความโกลาหลทั้งหลาย เราอดคิดไม่ได้ว่า “พระเจ้าอยู่ที่ไหน? พระองค์ทรงโยนพวกเรากับมวลมนุษย์อีกมหาศาลเข้ามาในโลกที่เดือดร้อนวุ่นวายแล้วพระองค์ก็ถอนตนออกไปงั้นรึ?”
พระเจ้าอยู่ตรงนั้น พระองค์ทรงฟัง และทรงตอบรับ เราเห็นตัวอย่างในชีวิตของนักบุญและทิพยอาจารย์ทั้งหลาย แม้คนธรรมดาทั่วไปผู้ได้สัมผัสจิตอันไพศาลนั้นชั่วขณะหนึ่ง อาจเป็นตอนที่ได้รับผลการอธิษฐาน ที่พอจะได้ความรู้สึกว่า “อา พระเจ้ามีจริง ทรงตอบรับเรา!” แต่ความคิดยุคใหม่ที่ตื้นเขินบอกเราว่า นั่นไม่เป็น “วิทยาศาสตร์” แต่ท่านผู้ประเสริฐอย่างเช่นท่านปรมหังสา โยคานันทะคุรุเทพของเรายืนยันว่า มีศาสตร์อันลึกซึ้งที่ตอบคำถามเกี่ยวกับชีวิตได้อย่างบริบูรณ์ นั่นคือโยคศาสตร์
พระเจ้าไม่ได้ถอนพระองค์ออกไป พระองค์ทรงสร้างเราตามฉายาของพระองค์ ทรงประทานจิตอันไพศาลส่วนหนึ่งไว้ในปัจเจกทุกคน และตรัสว่า “บัดนี้ เจ้าเป็นวิญญาณ เราส่งเจ้าไปสู่โลกมายาเพื่อแสดงถึงภาคหนึ่งของธรรมชาติอันไพศาลของเรา”— ซึ่งใช่แค่เป็นชีวิตปัจเจกจิตบริสุทธิ์ในฐานะวิญญาณเท่านั้น แต่ยังเป็นชีวิตไร้ขีดจำกัดที่มีพลังทิพย์และพลังสสารทางกายภาพ ให้อยู่ในจักรวาลอันไพศาลแห่งวัตถุและพลังงาน
แต่เกิดอะไรขึ้น? มนุษย์หลงมายา ปรมหังสาจีเคยพูดถึงมายาว่าเป็นการสะกดจิตของจักรวาล เพื่อแสดงละครแห่งการรังสรรค์ พระเจ้าทรงใช้อำนาจทำให้จิตของเราคิดไปว่าโลกนี้เป็นสิ่งจริง และเราแยกจากพระองค์ การสะกดนี้มีพลังมากจนเราเชื่อ—เราเห็นแต่ผลสุดท้ายของกระบวนการสร้างจักรวาล: โลกกายภาพกับร่างกายกายภาพที่อ่อนแอของเรา เราลืมว่าต้นกำเนิดของเราคือพระเจ้า ลืมความปีติของเรา ลืมทิพยธรรมชาติอมตะที่เชื่อมโยงกับพระองค์อย่างไม่อาจตัดขาดได้ และนี่เป็นเหตุให้เราทุกข์
แต่มีวิธีที่จะหลุดออกจากความทุกข์นี้ กฎจักรวาลที่พระเจ้าทรงบัญญัติส่งผลเมื่อพระองค์ทรงสร้างมนุษย์มากมหาศาลนี้จากพระองค์เอง—เมื่อทรงพ่นอาตมันแห่งพระองค์ ให้เป็นปัจเจกและธรรมชาติอันไร้ที่สิ้นสุด—กฎทิพย์นี้ทำงานในทางสวนกลับ และการใช้ความรู้นี้เป็นผลรวมและแก่นสารของโยคศาสตร์